เมืองแคนดี้ ศรีลังกา
Kandy (แคนดี้) คือเมืองมรดกโลกของศรีลังกา เป็นสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากเป็นที่ประดิษฐานพระธาตุเขี้ยวแก้ว และเมืองแคนดี้ เป็นเมืองหลวงเก่าของประเทศศรีลังกาด้วยครับ
เมืองแคนดี้ (Kandy) อยู่บนยอดเขา สูงเหนือระดับน้ำทะเลถึง 500 เมตร เป็นเมืองมรดกโลกอีกแห่งหนึ่งของศรีลังกา เมืองนี้เคยเป็นที่มั่นสุดท้ายของกษัตริย์สิงหล ก่อนการยกดินแดนให้กับจักรวรรดิอังกฤษใน ค.ศ. 1815 (พ.ศ.2358) หลังจากที่ได้ต่อต้านชาวโปรตุเกส และชาวดัตช์มานานถึงสามศตวรรษ สุดท้ายก็ต้องยอมพ่ายแพ้ไปในที่สุด
เมืองแคนดี้ เดิมเรียกว่า ‘ศิริวัฒนานคร’ หรือ ‘สิงหขันธนคร’ ชาวเมืองสิงหลเรียก ‘ขันธะ’ หมายถึงกองหินหรือภูเขา เมื่อฝรั่งเข้าครองเมือง ขันธะ จึงออกสำเนียงตามฝรั่งว่า แคนดิ หรือ แคนดี้นั่นเอง
ด้วยอิทธิพลของพุทธศาสนาในศรีลังกา วัดวาอาราม ในเมืองนี้ยังคงรักษาขนบประเพณีของพุทธศาสนิกชน แคนดี้ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับพุทธศาสนิกชนในศรีลังกาและทั่วโลก เพราะเป็นที่ตั้งของ Sri Dalada Maligawa หรือ วัดพระเขี้ยวแก้ว ซึ่งประดิษฐานพระทนต์ของพระพุทธเจ้า
วัดพระเขี้ยวแก้ว หรือ วัดดาลดา มัลลิกาวะ (Dalada Valigawa) เป็นที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว พระทันตธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองลังกา พระเขี้ยวแก้วเพียงองค์เดียวที่ปรากฏบนโลกมนุษย์โดยมีหลักฐานรองรับความถูก ต้องตรงตามพระคัมภีร์มหาวังศา ด้วยว่าพระทันตธาตุหลังจากการถวายพระเพลิงพุทธสรีระ และ นับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่๙ พระเขี้ยวแก้วได้ประดิษฐานอยู่บนแผ่นดินแห่งนี้มาโดยตลอด มิเคยถูกนำออกนอกดินแดนเลยตั้งแต่ถูกอัญเชิญมาจากชมพูทวีปโดยเจ้าหญิงเหมมาลาแห่งแคว้นกาลิงคะเมื่อ กว่า ๑,๗๐๐ ปีก่อนชาวศรีลังกาต่าง ถวายเคารพต่อพระทันตธาตุอย่างสูงสุด โดยเชื่อกันว่าหากเมื่อใดพระเขี้ยวแก้วถูกนำออกนอกเกาะลังกาแล้ว จะนำภัยพิบัติมาสู่ประเทศชาติและยังเชื่อว่าหากเมื่อใดที่เกิดทุกข์ภัยขึ้น การเปิดอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วออกให้ผู้คนสักการบูชาจะสามารถขจัดเภทภัยต่างๆ ได้
พระเขี้ยวแก้ว เป็นสมบัติอันล้ำค่าสำหรับชาวพุทธศรีลังกา ปรากฎหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่า ในปีที่ 9 แห่งรัชสมัยพระเจ้าศิริเมฆวรรณ (โอรสของพระเจ้ามหาเสนะ) คือประมาณปี พ.ศ.913 เจ้าชายทันตกุมาร และเจ้าหญิงเหมชาลา แห่งแคว้นกาลิงคะ ในอินเดีย ได้แอบซ่อนพระธาตุเขี้ยวแก้ว ซึ่งเป็นพระเขี้ยวด้านซ้ายของพระพุทธเจ้า หนีไปยังเกาะลังกาตามพระบัญชาของพระบิดาคือ พระเจ้าคุหเสวราช เพราะพระเขี้ยวแก้วนี้เป็นที่ต้องการของเมืองต่างๆ ยิ่งนัก อาจทำให้ก่อเกิดสงครามและพระเขี้ยวแก้วอาจตกไปอยู่ในมือของฝ่ายศัตรูได้ พระเจ้าคุหเสวราชเห็นว่า เกาะลังกาคู่ควรที่เป็นที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วนี้ จึงมีพระบัญชาดังกล่าว
• ในรัชสมัยพระเจ้าวิชัยพาหุที่ 6 แห่งโกฎเฏ (พ.ศ.1930-1934) พระเจ้าจักรพรรดิจีนพระนามว่า ยุงโห ได้ส่งแม่ทัพคนหนึ่งมาขอพระธาตุเขี้ยวแก้วจากลังกาแต่ได้รับการปฏิเสธ เป็นเหตุให้จีนส่งกองทัพมาจับพระเจ้าวิชัยพาหุที่ 6 ไปเป็นเชลยที่เมืองจีน แม้ต่อมาจะปลดปล่อย แต่จีนก็หาเหตุให้ลังกาส่งส่วยแก่ตน เป็นเวลาถึง 50 ปี
• มีประเพณีสืบทอดกันมาว่า ผู้เป็นสังฆนายกแห่งวัดมัลลวัตตะและวัดอัสสคีรี ซึ่งเป็นพระฝ่ายสยามวงศ์ทั้งสองวัด จะต้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมีหน้าที่คอยดูแลพระธาตุเขี้ยวแก้ว
• ชาวลังกามีความเชื่อถือว่า ถ้าฝนแล้ง เจ้าหน้าที่จะอัญเชิญพระธาตุเขี้ยวแก้วออกแห่เพื่อขอฝนและจะได้สัมฤทธิผลดังปรารถนาจริง ๆ ชาวลังกาเชื่อว่า ถ้าใครได้ครอบครอง พระเขี้ยวแก้ว ก็จะเป็นพระราชาพระมหากษัตริย์ มีเรื่องเล่าเรื่องเกี่ยวกับอภินิหารของพระเขี้ยวแก้ว ในหนังสือประวัติศาสตร์ พระพุทธศาสนา ฉบับมุขปาฐะไว้ว่า "เมื่อโปรตุเกสครอบครองศรีลังกาอยู่นั้น เพื่อเป็นการถอนรากถอนโคนพระพุทธ-ศาสนา ในลังกา โปรตุเกสได้ออกกฎหมายใช้เก็บภาษีต่อครอบครัวชาวพุทธอย่างรุนแรง ผู้ใดยอมรับนับถือศาสนาคริสต์ก็ได้อภิสิทธิ์ไม่ต้องเสียภาษี จึงมีชาวลังกาเข้ารีตเป็นจำนวนมากรวมทั้งพระเจ้าธรรมปาละแห่งโคลัมโบด้วย เข้ารีตแล้วเปลี่ยนชื่อเป็นพระเจ้าดองยวงและเพื่อเป็นการประกาศชัยชนะของพระผู้เป็นเจ้า นักสอนศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกจึงสั่งให้ พระเจ้ายองดวงมอบพระเขี้ยวแก้วให้ แล้วหัวหน้าบาทหลวงคาทอลิกได้ใช้ครกตำพระเขี้ยวแก้ว ต่อหน้าชาวลังกาจนทำลายไปหมด รัฐบาลโปรตุเกสได้ออกเหรียญที่ระลึกในงานนี้ รูปเหรียญด้านหนึ่งเป็นรูปผู้สำเร็จราชการโปรตุเกสจารึกว่า "ผู้พิทักษ์อันเที่ยงแท้" อีก ด้านหนึ่งเป็นรูปบาทหลวงตำพระเขี้ยวแก้ว พระสันตปาปาแห่งโรมได้ส่งสารมา แสดงความยินดี แต่พระเจ้าวิมลธรรมสุริยะแห่งกรุงแคนดีบอกว่า พระเขี้ยวแก้วของจริงอยู่ที่ตนที่พวกบาทหลวงทำลายเป็นของปลอม" ศรีลังกานั้น ถือว่าพระเขี้ยวแก้ว เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นเอกราชและเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นกษัตริย์แห่งลังกาด้วย
• โดยในราวเดือนสิงหาคมของทุกปีจะพิธีกรรมอันยิ่งใหญ่สมโภชพระเขี้ยวแก้ว จะมีริ้วขบวนยาวเหยียดนำด้วยช้างที่ตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงาม มีระบำรำฟ้อน การแสดงพื้นเมืองลังกา และดนตรีพื้นเมืองลังกาบรรเลงแห่งไปรอบเมือง
เมืองแคนดี้ มีบ้านเรือนอยู่มาก แต่ไม่ถึงกับแออัดเท่ากับเมือง โคลัมโบ ทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น สถานีรถไฟ โรงแรมดี ๆ หลายแห่ง โรงพยาบาล อากาศเย็นสบายตลอดปี มีแม่น้ำไหลผ่าน มีทะเลสาบกว้างใหญ่ และมีศาสนสถานคือวัดพระเขี้ยวแก้ว อีกทั้งวัดมัลลวะตะ หรือวัดบุปผาราม
นอกจากนั้นเมืองแคนดี้ยังมีสถานที่สวยงามอีกหลายแห่ง เช่น พระราชวังเก่า, มหาวิทยาลัยเมืองแคนดี้ (Kandy University) อันเป็นมหาวิทยาลัยที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดใน ศรีลังกา
• หลังจากการล่มสลายของอาณาจักรโปโลนนารุวะ จนถึงประมาณ พ.ศ. 2085-2124 โปรตุเกสได้เข้ายึดดินแดนที่ราบชายฝั่งแถบเมืองโคลัมโบ ในขณะที่กษัตริย์สิงหลผู้ปกครอง Kotte และ Sitawaka ได้อพยพและย้ายราชธานีไปยังดินแดนภายในบริเวณศิริวัฒนบุรี หรือเมืองแคนดี สถาปนาแคนดีเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์แคนดียัน ในปี พ.ศ.2133
• ต่อมาอีก 225 ปี โปรตุเกส ดัตช์ และอังกฤษ ได้เข้ามาถึงแคนดีโดยต่างก็หมายปองจะยึดแคนดีด้วยกันทั้งสิ้น ในที่สุดอังกฤษก็เป็นฝ่ายยึดครองแคนดีได้สำเร็จ แคนดีจึงตกเป็นของอังกฤษจนกระทั่งประเทศศรีลังกาได้รับเอกราชใน พ.ศ.2491
สถานที่สำคัญอื่นๆ ในเมืองแคนดี้ ศรีลังกา
- วัดบุปผาราม หรือวัดพระอุบาลี ตั้งอยู่ริมทะเลสาบแคนดี้ เป็นวัดที่พระอุบาลีและคณะสมณฑูตจากกรุงศรีอยุธยามาทำการบรรพชาให้ภิกษุชาวศรีลังกา ในสมัยพระเจ้าบรมโกศ นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของ “ลัทธิสยามวงศ์
- Botanic Garden หรือ สวนพฤกษชาติเปราดีนิยา แห่งเมืองแคนดี (Royal Peradeniya Botanical Garden) : สวนแห่งนี้มีชื่อเสียงมาก เพราะเป็นสวนพฤกษศาสตร์ที่ติดอันดับหนึ่งในสิบที่ดีที่สุดในเอเซียใต้
